ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คติการเก็บศพ

๒๒ มี.ค. ๒๕๕๒

 

คติการเก็บศพ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาปัญหานี้ก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวตอบแก้จิตนะ ไอ้ดูจิตนี่ เพราะเราได้รับเอกสารอยู่เหมือนกัน เอาปัญหาก่อน ปัญหามันสะเทือนใจ เพราะปัญหานี่มันเข้ากับพระยสะ ปัญหานะ ปัญหาที่ ๑

ถาม : ๑. พิธีการล้างป่าช้ามีอานิสงค์อย่างไร?

พิธีการล้างป่าช้านี่ มีอานิสงค์อย่างไร พระพุทธเจ้านะ บวชแล้วนะ พระพุทธเจ้าออกจากราชวังมา พระพุทธเจ้านะ ต้องไปขวนขวายอยู่อีก ๖ ปี พระพุทธเจ้าทำทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปีนะ พระยสะ เห็นไหม พออยู่ในบ้านนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว กำลังจะออกมาเผยแผ่ศาสนา ได้ปัญจวัคคีย์แล้ว จะมาเอาพระเจ้าพิมพิสาร ก็จะมาเอาชฎิล ๓ พี่น้องไง ก็ออกมาเดินจงกรมก่อน

ยสะอยู่ในบ้าน วาสนามาถึงไง

“ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่บ้านเดือดร้อนหนอ”

ก็หนีออกมา หนีออกจากบ้านมา พระพุทธเจ้าเห็นมีบุญญาธิการ พระพุทธเจ้าบอก

“ยสะมานี่” เดินจงกรมอยู่นะ “ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย”

ก็เทศน์ให้พระยสะฟัง พระยสะเป็นพระโสดาบัน พ่อแม่มีลูกคนเดียว รวยมาก ก็ตามลูกชายมา พอตามลูกชายมานะ พระพุทธเจ้าก็ใช้ฤทธิ์บังไว้ เพราะพอเทศน์จบปั๊บพระยสะบรรลุพระโสดาบัน

ทีนี้พอพ่อมาก็บังไว้ก่อน คือไม่ให้พ่อกับลูกเห็นกัน แล้วก็เทศน์โปรดพ่อ พอเทศน์โปรดพ่อแล้ว พระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย เพราะฟังเทศน์กัณฑ์เดียวกัน แต่บังไว้ไม่ให้เห็นกัน พ่อเป็นพระโสดาบัน ลูกชายเป็นพระอรหันต์เลย

พอเป็นพระอรหันต์แล้วก็คลายฤทธิ์ ให้เห็นกัน พอเห็นกันแล้วนี่ ก็ชวนกลับบ้านไง พระยสะบอก “กลับไม่ได้แล้ว เพราะเป็นพระอรหันต์” เพราะจะให้กลับไปครองเรือนไง สมบัติมหาศาลเลย

ทีนี้พระก็ถามกันว่า พระยสะนี่ ทำไมฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว ตรัสรู้ธรรมเร็วจริง พระยสะ นี่พอบรรลุธรรมแล้ว ก็มีเพื่อนอีก ๕๔ คนใช่ไหม ก็ได้ข่าว ก็มาเยี่ยมไง ก็เลยว่ามี พระอรหันต์ ๖๑ องค์ไง เพื่อนพระยสะ ๕๔ รวมทั้งพระยสะเป็น ๕๕ ปัญจวัคคีย์อีก ๕ ๖๑ รวมพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็ประชุมเห็นไหม

“ภิกษุทั้งหลาย เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน เพราะโลกนี้เดือดร้อนนัก ต้องการธรรมะ”

เราเองก็จะไปราชคฤห์ เพื่อไปเอาพระเจ้าพิมพิสาร ไปเอา ชฎิล ๓ พี่น้อง

ทีนี้ พอศาสนาเจริญขึ้นมา พอพระถามไง ถามพระพุทธเจ้าว่า พระยสะนี่ทำไม พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยาถึง ๖ ปี พระยสะฟังเทศน์คืนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย เป็นบุญอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่า พระยสะนี่ กับเพื่อนอีก ๕๔ คนหรือเพื่อนตั้งแต่สมัยก่อนนะ ก่อนที่ยังไม่เป็นพระยสะนี่ เขาเป็นคฤหบดี เขาเจอคนที่ไหน เจอคนตายนะ เห็นไหม

ประเพณีโลงศพ ประเพณีเก็บศพไร้ญาติ นี่ประเพณีของศาสนาพุทธนะ มาจากพระยสะ การเก็บศพการล้างป่าช้า ประเพณีของคนจีนชอบล้างป่าช้าเห็นไหม มันมาจากนี่ มันมาจากว่า บุญของพระยสะ พระยสะ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นพระยสะนะ อดีตชาติเขานะ อดีตชาติเขาเคยทำตรงนี้ไง เคยล้างป่าช้า เคยเห็นคนตายนี่เห็นไหม พวกประเพณีโลงศพ นี่มันเป็นประเพณีของคนจีนไง เพราะศาสนาพุทธเข้าไปในประเทศจีนเหมือนกัน

พอศาสนาพุทธเข้าไปในประเทศจีนแล้ว ประเทศจีนก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมของคนจีนมาเห็นไหม ร่วมกตัญญู นี่มาจากนี่ทั้งนั้นล่ะ นี่ประเพณีการล้างป่าช้าไง ประเพณีเห็นศพเห็นไหม แล้วเก็บศพไร้ญาติ เก็บศพต่างๆ นี่ แล้วเราเอามาฌาปนกิจ เราเก็บมาเผานี่ บุญเกิดจากตรงนี้ ตรงนี้มีบุญมาก

ดูสิเวลาพระพุทธเจ้า จะไปเผาศพเห็นไหม ถ้าพระองค์ไหน บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วตายนี่ พระพุทธเจ้าจะไปเผาเองเลย พระพาหิยะ โดนควายขวิดตาย

เรือแตกมา พอเรือแตกมา พอเขาขึ้นฝั่งมา ก็เรือแตกมานี่มีแต่ร่างกายเปลือยเปล่ามา ก็นุ่งใบไม้ พอนุ่งใบไม้มาชาวบ้านเขาศรัทธามาก พอชาวบ้านเขาศรัทธามากก็หลงตัวเองไง มันมีลาภสักการะ ก็นั่งอยู่อย่างนั้นล่ะ

ทีนี้เพื่อนที่เป็นเทวดามาเตือน เทวดามาเตือนบอก ไม่ใช่ เธอไม่ใช่พระอรหันต์ นี่พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ให้ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ก็ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าทีเดียว เห็นพระพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่ ก็ไปขอฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าบอกนี่กำลังบิณฑบาตอยู่นี่ ไม่มีเวลา ชีวิตนี้มันสั้นนัก ชีวิตนี้มันไม่แน่นอน ขอพระพุทธเจ้าทรงเทศน์เถิด สั้นหรือยาวนี่อยู่ที่เขาจะพิจารณาเอง พระพุทธเจ้าเทศน์คำเดียว เป็นพระอรหันต์เลย

พอเป็นพระอรหันต์แล้ว เขาขอบวช ขอบวช พระพุทธเจ้าบอก ก็เธอไม่มีบริขาร ๘ นะ ก็ต้องไปหาบริขาร ๘ พอดีไปถึงก็ควายขวิดตายเลย พอควายขวิดตายนี่ พระพุทธเจ้ารู้ว่านี่พระอรหันต์ แต่พวกเราก็เห็นแต่ร่างกาย จะรู้ไหม ใครพระอรหันต์ไม่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้ามาเป็นประธานเผาศพเองเลยยังไม่ได้บวชพระ แต่ใจเป็นพระแล้วเพราะเป็นพระอรหันต์

ทีนี้พระก็ถามอีก เป็นเพราะเหตุใด ทำไมฟังเทศน์ โอ้โฮ พวกเรานี่ฟังทุกวัน เป็นพระนี่ฟังทุกวันนะ ยังไม่รู้เรื่องเลย อันนี้ทำไมฟังเทศน์ทีเดียวแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มีอยู่ชาติหนึ่ง เป็นพระอยู่ ๖ องค์ ๗ หรือ ๖ นี่จำไม่แม่น (ตัวเลขเราจะคลาดเคลื่อนตลอด ตัวเลขกับชื่อคนนี่จำไม่ได้) สมัยนั้น นัดกันขึ้นไปนั่งภาวนาบนหน้าผาตัด ก็ทำเป็นบันไดขึ้นไป พอทำเป็นบันไดขึ้นไป ก็สัญญากันว่า ถ้าใครไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องลง อดตาย พอขึ้นไปเสร็จก็ถีบบันไดลงมา

พอนั่งอยู่ตรงนั้น องค์ที่หนึ่ง เป็นพระอรหันต์ เหาะลงมา องค์ที่สองเป็นพระอรหันต์เหาะลงมา องค์ที่สาม เป็นพระอนาคามั้ง? อยู่บนนั้น แล้วที่เหลือภาวนาจนตายหมด แล้วมาเกิดเป็นพระพาหิยะนี่ นี่เพราะเขาบำเพ็ญตบะธรรมมา แล้วเขาไปไม่ไหว อย่างที่เราภาวนา ภาวนากันนี่ ถ้าได้ไม่ได้ก็เอาตรงนี้ มันมีที่มาที่ไป

เราจะพูดบ่อยเห็นไหม เวลาเราพูดนะ บอกว่าเวลาเราภาวนานี่ อย่าง ขิปปาภิญญานี่ที่เขาปฏิบัติง่ายรู้ง่ายนี่ ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ดูสิ พระพาหิยะนี่ตายมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เมื่อชาติที่แล้ว ชาติก่อนเขาทำของเขาไว้ เขาพยายามสู้ของเขาไว้ เขาสู้แล้วเขาเอาตัวของเขาไปไม่รอด พอบารมีธรรมนี่มันสะสมมา มาชาติปัจจุบันนี่มันเต็มที่ บุญเก่าของเขาไง เขาพยายามขวนขวายต่อสู้ของเขาแล้วนี่ แล้วมาต่อยอดตรงชาติปัจจุบันนี้ไง

แล้วอย่างพวกเรานี่ เราไม่ได้ทำไว้ เราก็น้อยใจใช่ไหม ภาวนาก็ไม่ได้ โน้นก็ไม่ได้ อ้าว ได้ไม่ได้ เราก็ลงทุนลงแรงมานะ ไอ้ที่เขาง่ายๆ นะ เขาลงทุนลงแรงของเขามาแล้ว ยสะนี่ก็เหมือนกัน พระยสะนี่อดีตชาติเคยพาเพื่อน ๕๔ คนนั้น คอยเก็บศพไร้ญาติ ล้างป่าช้านี่ คอยเก็บศพไร้ญาติ มีศพที่ไหนก็เก็บเผาเก็บเผานี่ พาเพื่อนทำมาตลอดไง

แล้วพอพระยสะมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเห็นไหม ครั้งแรกตอนหัวค่ำ ได้เป็นพระโสดาบัน พ่อตามมาก่อนรุ่งอรุณ เรานี่ข้าวของเต็มบ้านเลย เงินทองเต็มไปหมดเลย มีลูกอยู่คนเดียวทำมรดกไว้ให้ลูก แล้วลูกมันไม่อยู่บ้าน โอ๊ย ตกใจไง ออกหาเลย ไปหายสะ เพื่อจะไปตามกลับไง พอพ่อมาก็เทศน์ซ้ำอีกทีหนึ่ง พอเทศน์ซ้ำ พระยสะเป็นพระอรหันต์เลย

บุญเกิดจากนี่ การเก็บศพ เราถึงบอกว่า ถ้ามองประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ ย้อนกลับได้หมดเลย ยิ่งประเพณีคนจีนนี่ เพราะศาสนาพุทธเข้าไปในเมืองจีน เข้ามาในเมืองไทย เข้ามาในเมืองไทยสมัยสุวรรณภูมิ สมัยนั้นนะมันก็มีพวกประเพณีพื้นถิ่นอยู่แล้ว พอพื้นถิ่นอยู่แล้วนี่ มันจะเข้ากับประเพณีพื้นถิ่นอย่างไร

ทีนี้ประเพณีของจีนนี่มันมีเต๋าอยู่แล้วเห็นไหม เต๋านี่เขามีก่อนศาสนาพุทธด้วย ทีนี้พอศาสนาพุทธเข้าไปเห็นไหม สรรพสิ่งเป็นเต๋า สรรพสิ่งมาจากเต๋า นี่ก็เหมือนกัน พอเป็นเต๋าเป็นอย่างนั้นปั๊บ เข้าไปนี่เซ็นมันเกิดมาจากตรงนี้ไง พอศาสนาพุทธเข้าไปเห็นไหม ศาสนาพุทธบอกอริยสัจไง พอศาสนาพุทธเข้าไป ศาสนาพุทธกับเต๋าบวกกัน เห็นไหม ก็กลายเป็นมหายาน กลายเป็นเซ็น แล้วมหายานยังแตกเป็นนิกายย่อยไปอีกเยอะแยะมหาศาลเลย

นี่ประเพณีเก็บศพไร้ญาติ มันมีบุญอย่างนั้นจริงๆ แล้วพวกเราก็นี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้นะ เมื่อก่อนนะ ไอ้พวกเก็บศพไร้ญาติ พวกช่วยเหลือนี่ มันจะเป็นประเพณีของโรงเจ ตอนนี้พระทำเยอะมากเลย วัดไหนนี่เราไป เราส่ง แปลกนะ พวกนี้จะบอก เอ๊ะ ทำไมเรารู้ไปหมด เวลาเราเอาเสบียงไปส่งหัวหินนะ เอาเสบียงไปส่งแถวอุทัยฯ เมืองกาญจน์นี่ มันไปตามถนนนะ เขาจะติดป้ายไว้เยอะแยะเลย

ขอเชิญบริจาคโลงศพ ขอเชิญบริจาค.. เดี๋ยวนี้วัดเอาหมดเลยนะ วัดก็มีบริจาคโลงศพ บริจาคมีเจ้าแม่กวนอิม เพราะอะไรล่ะ เพราะมันเป็นการดึงดูด มันเป็นทางความเชื่อ แต่ถ้าเราเป็นพระ อย่างที่เราพูดตอนเช้านี่ สะเทือนใจมากนะ เราเป็นพระ ถ้าเราเป็นพระนะ เจ้าแม่กวนอิมจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็เป็นพระโพธิสัตว์ โพธิสัตว์นี่มันก็ปุถุชน

ฉะนั้นถ้าเราเป็นนักบวช เราต้องถือไตรสรณคมน์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระเรานี่ต้องซื่อสัตย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น ถ้านอกจากนั้นไปนะ ขาดจากไตรสรณคมน์ ขาดจากเณร พระพุทธเจ้าต้องการให้ศาสนาเรานี่นะ มันพุ่งตรงเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ถ้าพุ่งตรงเข้าสู่มรรคผลนิพพาน มันต้องพุ่งตรงเข้าสู่อริยสัจ

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ มันจะถึงพุ่งตรงเข้าสู่อริยสัจ ไปทำบุญกุศลเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่กวนอิมก็เหมือนกับเราทำบุญ เรากราบไหว้บูชานี่ มันก็เป็นกตัญญู มันก็เป็นอะไร มันเป็นอริยสัจไหม มันเป็นการให้ทานนะ เจ้าแม่กวนอิมเป็นโพธิสัตว์ การทำบุญเราก็เป็นการทำบุญสละทาน มันก็เหมือนพระโพธิสัตว์ เราสละทานเพื่อบุญกุศลของเรา แต่ถ้าเราสละทานเพื่อบุญกุศล แล้วถ้าสละทานที่อยู่ในศาสนาล่ะ

นี่ตัวพระ ตัวพระนี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองนี่มีชีวิต หายใจลมฝอดๆ อยู่นะ แต่ความนึกเชื่อถือ สู้รูปเคารพไม่ได้ สู้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมไม่ได้นะ ต้องเอารูปปั้นกวนอิมมาตั้งไว้นี่ คนเขามาทำบุญเยอะ ไอ้ตัวเองนี่ มีลมหายใจอยู่ พูดได้เคลื่อนไหวได้นี่นะ แต่ไม่มีคุณค่า ถ้าทำอย่างนั้นไปนี่ มันเหมือนกับพระเรานี่ไม่มีจุดยืน เจ้าแม่กวนอิมเราก็ไม่ใช่จะปฏิเสธว่า มันไม่มีค่า ไม่มีราคาอะไรเลย แต่พระเราต้องมีคุณค่ามากกว่าใช่ไหม

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ พระพุทธเจ้านี่ เป็นผู้วางศาสนาไว้ ต้องมีคุณค่ามากกว่าใช่ไหม เพราะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ มันสิ้นสุดของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ หรือใครที่สร้างบุญกุศลมา ก็เพื่อบรรลุธรรม ไปเป็นพระอรหันต์ สิ้นสุดของกิเลสทั้งนั้น แล้วพระโพธิสัตว์ กับพระพุทธเจ้า กับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ อะไรมันมีคุณค่ามากกว่ากัน แล้วตัวเองทำไมไม่ทำอย่างนั้น

นี่ไงมันถึงเข้าได้ยากไง เพราะตัวเองเข้าไม่ได้ ใจตัวเองมันหยาบมันก็เลยเข้าได้อย่างนั้น แล้วก็ไปมองที่สิ่งผลประโยชน์จากข้างนอกด้วย อันนี้พูดถึงการล้างป่าช้านะ การล้างป่าช้า การทำบุญกุศลอย่างนี้ ผลของมันคือพระยสะ ตัวเองเป็นพระอรหันต์ด้วย แล้วเป็นพระอรหันต์เพราะฟังเทศน์ ๒ หนเท่านั้น ไม่ได้ทุกข์ทรมานมากด้วย

แล้วเพื่อนได้ข่าว เพื่อนตามมา พอเพื่อนตามมา เพื่อนก็สำเร็จหมดเลย เพราะเพื่อนเป็นคนเก็บด้วยกัน ทำเป็นหมู่คณะไง มันเลยเป็นประเพณี ประเพณีของพวกมูลนิธิ เก็บศพไร้ญาติ เก็บศพไร้ญาตินี่ถ้าเก็บด้วยใจสะอาดบริสุทธิ์นี่ได้บุญนะ แต่ถ้าเก็บเป็นธุรกิจ เก็บเพื่อผลประโยชน์เนาะ ดูสิเก็บศพไร้ญาติแล้วก็ไปหาผลประโยชน์กันนี่

เราจะบอก เมื่อก่อนในศาสนาพุทธนี่ เวลาพระออกจากนิโรธสมาบัติ ไปใส่บาตรได้บุญมากเลย เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ว่ามันมีเป้าหมายอย่างไร คือว่ามันสะอาดบริสุทธิ์ไง แต่พอมีตัวอย่างแล้วนี่ เราก็อยากทำอยากทำ ไอ้พระก็เลย เข้าสมาบัติกันทั้งนั้นล่ะ นอนหลับตื่นขึ้นมาก็เข้าสมาบัติ ตื่นขึ้นมาก็กำลังสดชื่นเลย แล้วให้พวกเราใส่แล้วจะได้ผล ไม่เห็นได้อะไรกันเลย เพราะเรามันมีตัวอย่าง เราไปตั้งค่ากัน มันเลยไม่สะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม

ฉะนั้นเราทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา เราทำบุญของเรา บุญคือบุญ บุญเพื่ออะไร เพื่อความอิ่มใจ อย่าไปหวังผล หวังผลนั่นมันเป็นเรื่องผลจากภายนอก อันนี้พูดถึงการล้างป่าช้านะ

ถาม : เมื่อนั่งสมาธิแล้วตัวแข็งมากเลย จะทำอย่างไร? เพราะแม่พึ่งเสียชีวิต กลัวจะเจอแม่

หลวงพ่อ : ไม่.. นั่งตัวแข็งนี่นะ นี่ แม่เสีย กลัวจะเจอแม่ ไม่เจอหรอก เพราะประสาเรานะ ถ้าเจอแม่สิดี คำว่าเจอแม่ หมายถึงว่า จิตเรานี่มันละเอียด ถ้าจิตเราไม่ละเอียดนะ มันคนละมิติ มิติของเรานี่มันมิติของมนุษย์ ๒๔ ชั่วโมง มิติของโลกวิญญาณนี่เห็นไหม ๑๐๐ ปี ของเรา เท่ากับเขา ๑ วัน กับสวรรค์นะ แล้วนี่อายุขัยของเขานี่ยาวกว่าเรามาก พวกเรานี่มันกฎคนละมิติ

ดูอย่างแมลงวัน อายุมัน ๗ วัน ใน ๗ วันนี่ ก็ชีวิตหนึ่งของเขา เขาก็ว่าชีวิตของเขายาวมากนะ อย่างเรานี่นะ เราว่าชีวิตเรานี่ เรามองดูถูกสัตว์ได้เลยว่า ชีวิตมันสั้น เรานี่ ๑๐๐ ปี ชีวิตเรายาวกว่า ถ้าเทวดาเขาเห็นเรานะ เขาหัวเราะเยาะเลยนะ ๑๐๐ ปี ของเรา เท่ากับเขา ๑ วัน แล้วอายุขัยของเขานี่ เท่ากับเรากี่ล้านปี แล้วเราคิดดูสิว่า ชีวิตเรายืนยาว แล้วชีวิตเราไม่ยืนยาวนี่

เราจะบอกว่า ถ้ามิติคนละมิตินี่ มันจะมาเจอกันได้อย่างไร? ผีกับเราจะเจอกันได้อย่างไร? โลกวิญญาณกับโลกเรามันจะเจอกันได้อย่างไร? ทีนี้สิ่งที่เราเจอกันได้ ถ้าโดยธรรมชาตินี่เจอกันไม่ได้ แต่ทำไม พระเขาไปเห็นจิต เห็นวิญญาณ ไปเที่ยวนรก สวรรค์ล่ะ ไปเที่ยวนรกสวรรค์นั้นนะ เพราะเขาเข้าสมาธิ

พอจิตนี่เข้าสมาธิ พอจิตเข้าสมาธินี่ จิตไม่มีกาลเวลา จิตนี่เวลาสงบแล้วนี่ ไม่มีกาลเวลานะ สมาธินี่เป็นกลางไหม เวลาเราเข้าสมาธิอยู่นี่ มันมีเวลาไหม พอไม่มีเวลาแล้วนี่ ถ้าไม่มีเวลาแล้วอย่างคนที่ไม่เห็นอะไรเลย ก็ไม่เห็นนะ แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา พอจิตเข้าสมาธิปั๊บ พอจิตมันว่าง กำหนดจะไปไหน จะไปในมิติไหนไง จะไปพรหม จะไปเทวดา จะไปนรกอเวจี

ทำไมแม่ชีแก้ว เวลาเข้าสมาธิ ทำไมจิตเข้าไปแล้วจะไปรู้โน่นรู้นี่นะ ความรู้นี่ มันจะรู้โดยปกติอย่างนี้ได้ไหม โดยปกติเราจะรู้อะไรได้ โดยปกติจิตเราต้องเข้าไปที่สงบใช่ไหม พอสงบแล้วพอเข้าไปแล้ว มันไม่มีมิติ มันไม่มีกาลเวลา ไม่มีกาลเวลาแล้ว ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนา ถ้าจิตมันไม่มีกำลัง มันไปไหนไม่ได้หรอก มันก็อยู่สงบธรรมดา

เวลาเข้าสมาธินี่จะว่างๆ เฉยๆ สงบเฉยๆ ทุกอย่างปกติเฉยๆ บางคนเข้าสมาธิปั๊บ ไม่เข้ามันก็เห็นแล้ว เห็นนะ สิ่งที่เห็นนั้นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง มันหลอก แม้แต่เวลาเราเข้า จิตเรามีอำนาจวาสนา ถ้าไปเห็นอย่างนั้นแล้วนี่ มันก็ต้องมีสติ มันรู้ของมันนะ

ดูสิ อย่างแม่ชีแก้ว เวลาไปไหนกลับมาแล้วนี่ แม่ชีแก้วหรือยายกั้งเห็นไหม ไปเห็นอะไรกลับมาแล้วนี่ กลับมาถามหลวงปู่มั่น ที่ไปเห็นนั้นอะไร? ไปเห็นเองเห็นไหม แต่กลับมาถามว่า ไอ้นั่นอะไร? หลวงปู่มั่นบอกว่า ไอ้นั่นเป็นพรหม ไอ้นั่นเป็นพระอินทร์ ทำไมต้องให้หลวงปู่มั่นบอกล่ะ

เพราะเวลาไป ถ้าเรามีสติ เราถามได้ไง เรารู้ได้เลยว่า ที่นี่อะไร ที่นี่อะไร แต่ถ้าสติเราไม่พร้อม ไปเห็นแล้วนะ ก็เหมือนไปเที่ยวนี่ เขาบอกว่าจะพาไปเที่ยวชายหาด จะพาไปชะอำ เราไปถึงพัทยาแล้ว เรานึกว่าชะอำหรือเปล่า ชายหาดเหมือนกัน เราไม่รู้ อ้าว ชะอำ กับพัทยา มันอยู่ตรงไหน แต่ถ้าเราไป เรารู้มีสตินะ อ้อ นี้กูมาชะอำนะ อันนี้กูมาพัทยานะ เห็นไหม

สวรรค์เป็นชั้นๆๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะเจอ แต่เจอสิดี ถ้าเจอนะ ถ้าเจอได้ เราอุทิศส่วนกุศลได้ ไม่เจอหรอก ทีนี้ ถ้าจิตมันสงบแล้ว สงบส่วนสงบนะ มันมีถามตอบของหลวงตาท่านตอบไว้นี่ดีมากๆ เลย มันมีผู้หญิงคนหนึ่ง เขามีสามีเป็นนายตำรวจ แล้วสามีเขาดีมากๆ พอสามีเขาดีมากๆ เขาก็คิดในใจว่า นี่ได้สามีดีมากๆ เลยนี่ จะอุปัฏฐากสามีอย่างดีเลย พอคิดอย่างนั้น กรรมแปลกนะ

สามีออกจากห้องน้ำ ล้มพับตายเลย เส้นเลือดในสมองแตก โอ้โฮ เสียใจมาก รักมากนะ จะฆ่าตัวตายตามสามีให้ได้ ในปัญหาถามตอบเล่มขาว เล่มใหญ่ของหลวงตานั่นนะ ตอนนั้นเราอยู่ที่นั่นด้วย ทีนี้จะฆ่าตัวตายให้ได้ อยากจะฆ่าตัวตาย ทุกคนก็ดึงไว้นะ จะวิ่งเข้าหารถ จะให้รถชนตาย

เขาก็พยายามดึงกันไว้ พยายามปลอบอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วเขาจนตรอก เขาก็พามาหาหลวงตา พาขึ้นไปบนกุฏินี่ ไปถามหลวงตาบอกนี่ เพื่อนเป็นอย่างนี้จะฆ่าตัวตาย หลวงตาบอก

“ฆ่าเลย ฆ่าได้เลย” โอ้โฮ เขาสะอึกเลยนะ เขาจะฆ่าตัวตายมีแต่คนห้าม ไปถึงหลวงตายุให้ฆ่าเลย แล้วก็บอกเขา

“มีข้อแม้ข้อหนึ่ง”

“อะไรล่ะ”

“ก่อนจะฆ่าตัวตาย ต้องให้ลูกมันตายก่อน ต้องให้ลูกฆ่าตัวตายก่อน”

“ไม่ได้ ถ้าลูกฆ่าตัวตายไปแล้ว สกุลนี่ ใครจะสืบสกุลล่ะ ก็ต้องให้ลูกสืบสกุลไง”

ท่านก็ถามกลับเลย “แล้วถ้าแม่มันตาย ลูกมันจะอยู่กับใครล่ะ”

โอ้โฮ มันช็อกเลยนะ ฟื้นเลย พอฟื้นขึ้นมานี่ โอ้โฮ ติเพื่อนเลย ทำไมไม่เตือน ทำไมไม่บอก ฉุดกันเกือบตายนะ มันไม่ว่า พอมันได้สติ มันติเพื่อนมันเลยนะ นี่เพื่อนไม่เตือนเลย ไม่มีใครเตือนเลย เห็นไหม เรื่องกิเลสเป็นอย่างนี้

พอเสร็จแล้วนะ หลวงตาก็เทศน์ นี่ไปดูได้ “เปรียบเหมือนเข็มเล่มหนึ่ง เราไปทิ้งลงไปในทะเล แล้วเราก็จะไปดำลงไปในทะเล แล้วจะหาเข็มเล่มนั้นจะหาเจอไหม จิตวิญญาณที่ตายไป เหมือนกับเข็มเล่มนั้น

สามีเราที่ตายไปแล้วนี่ เหมือนกับเข็มเล่มนั้นที่ทิ้งลงไปในทะเล เพราะเขาก็ไปตามเวรตามกรรมของเขา แต่เราก็ตั้งใจ ตั้งใจว่าเราจะฆ่าตัวตาย เพื่อจะตามไปอยู่กับสามีของเรา มันจะเป็นไปตามความเป็นจริงอย่างนั้นไหม เวรกรรมของคนมันไม่เหมือนกัน

เวรกรรมของคนแต่ละคนสร้างมา ทั้งๆ ที่เป็นสามีภรรยา มันก็แตกต่างกัน คราวนี้เราเกิดมาเป็นคู่สามีภรรยากันนี่ เราเกิดมาในภพชาตินี้ เรามาชอบกัน เรามาเห็นกัน แล้วเรามาแต่งงานกัน เป็นสามีภรรยากัน ต่อเมื่อเราอยู่ในภพชาตินี้ แต่ในเมื่อสามีเราเปลี่ยนภพชาติไปแล้วนี่ เขาตายของเขาไปแล้ว โดยที่ว่าไม่มีใครรู้ เขาเป็นโรคภัยใช่ไหม เส้นเลือดในสมองแตกตายไป โดยกรรมของเขาใช่ไหม

เขาก็ตายไป ด้วยกรรมของเขา กรรมของเขามันก็เป็นไปตามกรรมอันนั้น แล้วเรานี่ ก็เหมือนกับเรานี่เอาเข็มเล่มหนึ่งทิ้งลงไปในทะเล แล้วเราก็อยากจะได้เข็มเล่มนั้นกลับมา เราก็จะงมไปในทะเล เพื่อจะหาเข็มเล่มนั้น จะหาเจอไหม”

นี่เวรกรรมมันเป็นอย่างนี้นะ นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เวลาท่านพูดออกมานี่มันสะเทือนใจไหม นี่ก็เหมือนกัน พ่อแม่ของเรานี่ ท่านเสียไปแล้ว แต่เห็นไหม เข็มเล่มนั้นทิ้งลงไปในทะเล เข็มนั้นอยู่ในทะเลนั้นไหม อยู่ เข็มนั้นมีไหม มี จิตวิญญาณเราก็เหมือนกัน จิตวิญญาณของพ่อแม่มีไหม มี ท่านก็เป็นไปตามเวรตามกรรม ที่ท่านสร้างของท่าน ท่านสร้างกรรมดี ท่านก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์

ถ้าท่านจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มันก็เกิดมา ก็อยู่ในภพชาตินี้ ทีนี้เราคิดถึงได้ เพราะมันอยู่ในใจของเราใช่ไหม ฉะนั้น เรากลัวจะไปเจอ เจอสิดี เมื่อก่อนเราบวชใหม่ๆ นะ เราก็กลัวผีนะ แต่พอเราบวชนานไปๆ อยากเห็นผี เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเห็นคือจิตเราเปลี่ยนไง พอเราภาวนาเป็นแล้ว เรารู้เลย

เราจะบอกเลยนะ เข็มไมล์รถนี่ มันจะเคลื่อนที่ต่อเมื่อ ล้อรถเราหมุน สิ่งที่เห็น คือถ้าจิตเราไม่ดีขึ้นมา เราจะไม่เห็นอะไรเลย สิ่งที่เห็นมันจะบอกเลยว่า จิตเรานี่พัฒนาขึ้น จิตเราดีขึ้น เราจะเห็นในสิ่งนั้น ถ้าเราเห็นพ่อแม่เรา เราเห็นผีนะ แสดงว่าจิตเราพัฒนาขึ้นมาเป็นอีกมิติหนึ่ง เราอุทิศส่วนกุศลก็ได้

แต่เรากลัวมันจะไม่เห็นนะสิ ไม่เห็นหรอก แล้วนี่อันหนึ่ง อีกอันหนึ่งเวลาเราจิตสงบขึ้นมา เห็นกาย เห็นกาย คนกลัวเห็นผี เพราะเราคิดว่าผี เห็นไหม คือซากศพ คือสิ่งที่ว่าออกมานี่ แลบลิ้นปลิ้นตา นี่คือผี ไอ้ผีอย่างนี้มันเป็นเห็นไหม คู่เวรคู่กรรม คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก เวรกรรมของพวกเรานี่ มาเจือจุนกัน มาเป็นสิ่งที่มาเกื้อหนุนกันก็มี

สิ่งที่เราสร้างเวรสร้างกรรมไว้นะ มาคอยทำลายกัน มาคอยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจก็มี เวลาไปเจอผีที่หลอก ผีที่ทำลายเรานะ คือผีที่ว่ามีเวรมีกรรมต่อกัน มันก็เป็นไปโดยธรรมชาติอันนั้น แล้วทีสิ่งที่เขามาส่งเสริมเราล่ะ เวลาเราจะเกิดอุบัติเหตุ เราจะเกิดสิ่งใด เขาทำให้เราพ้นจากอุบัติเหตุนั้นล่ะ

ในสังคมผี ก็มีผีที่ดี ผีที่เก ในสังคมเทวดา ก็มีเทวดาที่ดี เทวดาที่เก ในสังคมที่เป็นพรหม ก็มีพรหมที่ดี พรหมที่เก ทุกสังคมมีคนดีคนชั่วหมด มนุษย์ก็มีดีมีชั่ว ฉะนั้นถ้าเราไปเจอผีใช่ไหม พอเห็นผีเห็นสางที่มันเข้ามา อันนั้นก็เป็นไปได้ แล้วอย่างที่เขาเห็นนั้นนะ มันยังเป็นส่วนน้อยนักนะ จิตวิญญาณนี่มีมหาศาลเลย

ฉะนั้น ตรงนี้ถ้าเราวางใจไว้ถูกต้องนะ เราภาวนาแล้ว มันจะไม่เขย่าหัวใจให้หวั่นไหวไง เวลาเราภาวนากันไปนี่ เรากลัวเห็น ถ้าเห็นอสุภะ เรากลัวเห็นผีไง คนไปเข้าใจตีความผิด ว่าเห็นอสุภะ กับเห็นผี มันอันเดียวกัน ผีคือจิตวิญญาณนะ คือภพๆ หนึ่งนะ วิญญาณๆ อย่างเราตายไปนี่ นี่ผีตัวแรกที่น่ากลัวที่สุดคือในหัวใจเรานี่ล่ะ

ถ้าหัวใจเราตายไป หัวใจเรามีเวรมีกรรม จะไปเกิดเป็นผี เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม หัวใจเรานี่เป็น ไอ้ผีตัวนี้ ผีตัวแรก ถ้าไม่มีผีตัวนี้ มันจะไม่เห็นผีตัวอื่นหรอก ไอ้ผีในใจเรา ฉะนั้นเวลาจิตเราสงบลงไปนี่ ถ้าเราเห็นอสุภะ การที่เห็นอสุภะนี่มันเป็นสัจธรรม ไม่ใช่ผี

ทีนี้ไปเห็นอสุภะใช่ไหม เวลาเห็นอสุภะแล้วให้มันเป็นไตรลักษณ์ ให้มันย่อยสลายไป เราก็คิดเปรียบเทียบว่ามันเป็นผี อันนี้เป็นธรรมนะ อันนี้เป็นอริยสัจนะ อันนี้เป็นคุณงามความดีนะ อันนี้มันจะเป็นสิ่งที่ถอดถอนหัวใจ ถอดถอนสิ่งที่ปักในหัวใจนะ เพราะหัวใจเรานะ มันติดสักกายทิฏฐิ ติดร่างกายเราเองนี่ล่ะ

ทุกคนติดตัวเอง เห็นไหม อริยสัจกับผีมันคนละอันกัน แต่นักปฏิบัตินี่เข้าใจผิด เข้าใจว่าเวลาเห็นอสุภะนี่ นึกว่าเห็นผี เห็นอสุภะคือเห็นร่างกายของเรา เราบวชใหม่ๆ เราไม่รู้ เรานั่งภาวนานี่ เห็นซากศพอยู่ข้างหน้านี่ เหมือนขอนไม้เลย เหมือนท่อนไม้ วางอยู่ข้างหน้านี่ เห็นซากศพ เราก็นั่งดูอย่างนี้ เห็นซากศพเลย เอ๊ะ! ทำไมเราเห็นศพใครว้า?

ไปถามอาจารย์ ผมเห็นอย่างนี้ มันเป็นซากศพอยู่ข้างหน้าอย่างนี้ เห็นศพใคร? ก็ศพมึงไง ก็เพราะเราเห็นกายไง มันเถียงในใจนะ จะศพกูได้อย่างไร? ก็กูนั่งอยู่นี่ แล้วศพมันอยู่ข้างหน้า มันนอนอยู่ข้างหน้า

เวลาไม่เป็น เวลาไม่เป็นก็ไปเถียงเขาอยู่นะ ยังเถียงเขาอยู่ แล้วพอภาวนาเป็นขึ้นมา มันพัฒนาขึ้นมา แล้วมาคิดย้อนหลังนะ เป็นอย่างที่ท่านพูดจริงๆ คือเราเห็นกาย เห็นซากศพนี่ นอนนี่ ปลายเท้าของเรานี่ นอนไปอย่างนี้ นอนอย่างนี้ นอนอยู่ข้างๆ นี่ เราก็นั่งดูอยู่ นั่งอยู่ เป็นสมาธินะมันเป็นนิมิตเห็น เอ๊ะ! นี่ศพใครวะ นี่ศพใครวะ มันสงสัยนะ มันไม่รู้ ยังสงสัยอยู่

นี่เห็นไหม เวลาโยมมาถามปัญหาเรานี่ ก็เหมือนกับเรา ก่อนที่เราจะปฏิบัตินะ เราก็งงเหมือนโยมมานี่ล่ะ เราเห็นอะไรเราก็ไม่รู้ เราก็ไปถามอาจารย์นะ

“อาจารย์ครับ อาจารย์ครับ นี่ เห็นศพมันนอนอยู่ข้างหน้านี่ ศพอะไรก็ไม่รู้นี่มานอนอยู่ข้างหน้านี่”

นอนนะ แล้วแปลกด้วย ตอนนั้นสมาธิมันดีมั้ง ให้มันพลิกมันก็พลิกนะ ให้ศพพลิกข้างหน้าพลิกข้างหลัง มันก็พลิกให้ดูนะ เอ๊ะ เราก็คิดในใจนะ เอ๊ะ ศพใครวะ ศพใครว้า มันงง มันสงสัย พอออกจากสมาธิก็ไปถามอาจารย์ นี่ผมเห็นศพใครไม่รู้นะ ก็ศพมึงล่ะ ก็ศพเรานะ จะศพเราได้อย่างไร ก็เรายังไม่ตายนะ ก็นั่งอยู่นี่ ก็ยังอยู่นี่จะเป็นศพได้อย่างไร นั่นมันศพ ไอ้นี่เป็นเรา มันคนละคน เถียงนะ แต่เถียงในใจ ไม่ได้เถียงออกจากปาก ในใจมันคิดนะ มันยังเถียงเขาเลย

แล้วพอภาวนาขึ้นมา พอมันภาวนาเป็น เออนี่ การเห็นกายเห็นไหม เราถึงได้พูดบ่อย เห็นกาย เห็นทั้งร่างกายก็ได้ เห็นเฉพาะกะโหลกศีรษะก็ได้ เห็นเป็นเส้นผม เห็นเป็นอวัยวะแต่ละชิ้นก็ได้ มันไม่เหมือนกันนะ คนแต่ละคนเห็นมันไม่เหมือนกันหรอก อยู่ที่วาสนาของคนไม่เหมือนกัน เห็นทั้งตัวนี่ มันก็ต้องมีบุญมากกว่านิดหนึ่ง

มันเหมือนเงินนะ เงินบาท เงินร้อยบาท เงินพันบาท เงินแสนบาท เงินใครมากใครน้อย มันอยู่ที่บุญวาสนาของคนไม่เหมือนกัน แล้วถ้าเห็นแล้วนี่ ถ้าใครเห็นแล้ว ถ้าเห็นแล้วถ้าสมาธิดี มันก็จะ เหมือนกับทีวีเลย ทีวีไม่เสีย ไฟไม่เสีย ทีวีจะชัดเลย ถ้าไฟอ่อนนะ พั้บๆๆ ภาพจะล้ม ถ้าสมาธิไม่ดีนะ ภาพมันจะไหว จริงๆ เปรียบเทียบชัดเจน เพราะมันเป็นมาหมดแล้วไง

พอเราเป็นมาแล้วนี่ นี่ธรรมะ ธรรมะเราจะเอาอะไรมาเทียบล่ะ ทีนี้พอจะเทียบ จะเทียบให้โยมเห็นเป็นรูปธรรม ก็ต้องเอาเป็นวัตถุให้โยมเห็น พอวัตถุให้โยมเห็น โยมก็เทียบเป็นรูปทีวี ผิดอีกแล้ว นี่ไงธรรมะ เป็นนามธรรม แล้วจะสื่อธรรมะมานี่ คนที่เป็นนะ จะสื่อออกมาเห็นไหม

หลวงตาถึงบอกว่า ธรรมะนี่ ธรรมะเป็นความจริงอันหนึ่งในหัวใจ แต่พูดออกมาเป็นสมมุติหมดเลยสมมุติบัญญัติมาเพื่อสื่อความหมายให้เราเข้าใจ ทีนี้พอเป็นสมมุติคือตัวอย่างไงคือตุ๊กตา ตุ๊กตาให้พวกเราเข้าใจ พอเราเข้าใจแล้ว เราก็จะนึกว่าตุ๊กตานี้เป็นความจริง เฮ้ย! นั่นตุ๊กตา ตุ๊กตาเขาจะสื่อถึงความจริงอันหนึ่งเห็นไหม

เนี่ยถ้าจิตมันกำลังไม่พอปั๊บ เราจะต้องกลับมาเพิ่มความสงบ เพิ่มกำลัง ถ้ากำลังไฟดี ทีวีดี ภาพชัดเจน พอภาพชัดเจนแล้ว เราจะทำอย่างไรให้ภาพมันเคลื่อนไหว ภาพคงที่ อุคหนิมิตภาพเคลื่อนไหว วิภาคะนิมิต วิภาคะ คือแยกส่วน ขยายส่วน เป็นไตรลักษณ์ เป็นความเป็นไปนี่ อริยสัจมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วมันเป็นความจริง ความจริงคือมันสะเทือนหัวใจตลอด

อาหารรสเผ็ด เอาใส่ปาก ลิ้นจะแสบจะเผ็ดตลอดเวลา อาหารรสจืด อาหารรสต่างๆ เห็นไหม เอาเข้าไป ลิ้นจะรู้รสตลอดเวลา ถ้าเป็นนิมิต เป็นอริยสัจ รสของธรรมจะสะเทือนหัวใจตลอดเวลา เห็นซากศพ เห็นอสุภะ หัวใจจะหวั่นไหว หัวใจจะกระตุก ใจจะรับรู้ ใจจะหวั่นไหว ใจจะสะเทือนใจมาก มันเป็นสภาวธรรมหมดเลย

แต่พวกเราเห็นนิมิตกันเห็นไหม เห็นกายกันนะ เห็นกาย เห็นกาย เห็นกายมันไม่มีลาภ คือไม่มีสมาธิ มันเข้าไม่ถึงใจ เห็นกายโดยสามัญสำนึก เห็นกายโดยนิมิตจากภายนอก นิมิตคือความคิด เห็นจากสามัญสำนึก ไม่ได้เห็นจากสมาธิ เห็นไหม นี่ความเห็นมันยังแตกต่างหลากหลายมาก

ถ้าจิตมันสงบนะให้มันสงบเข้าไป ถ้าจิตมันสงบแล้วนี่ออกไปวิปัสสนาเพื่อพัฒนาใจบ้างได้ บ้างได้เห็นไหม หลวงตา หรือครูบาอาจารย์ ท่านบอกเลย กาย เวทนา จิต ธรรม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา หลวงปู่เจี๊ยะเทศน์ชัดมาก

หลวงปู่เจี๊ยะบอกเลย ให้เดินจิตอยู่ในกายนี้ มันจะเป็น พิจารณากายเห็นไหม พิจารณากายเดินอยู่ในกายนี้ มันเป็นสมถะ เป็นสมถะเพราะอะไร เพราะมันยังไม่เป็นสมาธิ จิตมันยังไม่ตั้งมั่น จิตมันยังไม่ถึงราก จิตมันยังเข้าไม่ถึงภพไม่ถึงรากของจิต รากของจิตคือรากอวิชชา ถ้าเข้าถึงรากอวิชชาคือจิตมันเป็นสมาธิแล้วจิตออกไปเห็นนี่ เวลามันเห็นอะไรมันจะกระเทือนเข้าไปถึงราก มันจะถอนรากถอนโคนไง ถอนรากอวิชชาในหัวใจไง

ถ้ามันถอนรากถอนโคนนี่ เมื่อใดที่มันถอนอวิชชา พวกเรานี่เห็นกันหมดเลย เวลาพวกเรานี่เห็นไหม ในกรรมฐานนี่ พิจารณากาย ปล่อยกาย พิจารณากายเห็นกาย มันเป็นสัญญา มันเป็นความเห็นที่เราเห็นกันโดยธรรมชาติ มันไม่ใช่สัจธรรม ที่หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดนะ กาย พิจารณากายนี่เป็นสมถะ กายวิภาคอย่างนี้ ยังเป็นสมถะอยู่

ฟังเทศน์หลวงปู่เจี๊ยะสิ ในเสียงธรรมของประชาชนนี่ เราฟังบ่อย เวลาหลวงปู่เจี๊ยะพูดนะ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตาพูดนะ มันถูกไปหมดเลยนะ เอ๊ะ เวลาคนอื่นพูดนะ กูฟังนะ มันผิดไปหมดเลยนะ แปลกจริงๆ ถ้าหลวงปู่เจี๊ยะพูดนะถูกไปหมดเลย คนรู้จริงพูดนะ มันถูกไปหมดเลย

ถ้าคนไม่รู้พูด พูดเหมือนกันล่ะ แต่มันผิด มันผิดตรงไหน ผิดตรงเทคนิคมันผิด หลักการมันผิด แต่คำพูดคำเดียวกัน พิจารณากายเหมือนกัน ดูกายเหมือนกัน เห็นกายเหมือนกัน แต่ผิด ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะมันเห็นกายโดยสัญญา เห็นกายโดยวิทยาศาสตร์ แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ เพราะมันเป็นธรรมเห็นไหม ทำไมคำนี้หลวงตาก็พูด เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา

ทีนี้เป็นได้ทั้งสมถะนี่ เราก็พิจารณามัน ถ้าเราเป็นสมถะนี่ เราไม่ใช้ปัญญาให้มันละเอียดขึ้นไป เวลาเป็นสมาธินี่ มันจะอยู่อย่างนั้นล่ะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกำลังมันไม่พอ ความร้อนไม่พอ เราจะหุงข้าวนี่ เราตั้งอุณหภูมิไว้ขนาดนี้ ข้าวไม่สุกสักที ทีนี้ถ้าจะให้ข้าวสุกต้องเร่งไฟเรา ให้ข้าวมันสุก ทีนี้ถ้ามันเร่งไม่ขึ้น ไฟเร่งไม่ขึ้นใช่ไหม เพราะเชื้อเพลิงเราไม่ดี

นี่ก็เหมือนกันถ้าสมาธิเราไม่ดีนี่ หลักก็ไม่ดี มันจะให้เป็นสมาธิมันก็ไม่เป็น พอไม่เป็นแล้วนี่ เราก็ต้องมาดูฟืน เพื่อเติมเชื้อฟืนเข้าไป คือกลับมาใช้ปัญญานี่ไล่ให้หัวใจมันปล่อยวาง ให้มันเห็นโทษของมัน ให้มันเปลี่ยนแปลง ให้มันเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวเพื่อจะลงสมถะ เคลื่อนไหวเพื่อให้มันสงบเข้าไป เคลื่อนไหวเพื่อให้มันลึกเข้าไป พอลึกเข้าไปแล้วนี่ถึงราก

พอถึงรากแล้วนี่ก็ออกมาพิจารณากายเหมือนกันเห็นไหม เห็นกายเหมือนกัน เห็นกายอันหนึ่งเป็นสมถะ เห็นกายอันหนึ่งเป็นวิปัสสนา เห็นกายวิปัสสนานี่มันต้องถึงราก พอถึงรากแล้วมันสะเทือนหัวใจ เหมือนพริกนะ ใส่ปากเข้าไป ไม่เผ็ดไม่มีหรอก เว้นไว้แต่คนป่วย หลวงตาว่า เป็นมาลาเรียพริกไม่เผ็ดเลยนะ จะบอกว่า เดี๋ยวกินพริกไม่เผ็ด เคี้ยวพริกนี่ไม่มีรสเลยนะ เป็นมาลาเรียนี่

พริกนี่ถ้าปกติเข้าปากต้องเผ็ดหมด ถ้ามันเข้าถึงใจ ใจเห็นแล้วมันสะเทือนใจหมด สะเทือนหัวใจอันนั้น มันจะถอนกิเลสอันนั้น แต่เพราะเราไม่เข้าถึงใจกัน เราถึงถอนกิเลสไม่ได้ อันนี้มันเป็นความจริง

นี่พูดถึง ถ้ามันวิปัสสนาได้บ้างไม่ได้บ้าง ทีนี้กลับมาที่หนังสือ หนังสืออันนี้เราก็ได้รับ เราได้รับแล้วนี่เราอ่านเกมเลย พอได้รับแล้วนี่ เราอ่านเกมเลย เขาเขียนมาด้วยจาก........ เขาเขียนมานะ เขาบอกให้ส่งกลับด้วย เรายิ่งดูแล้ว เรายิ่งน่าสงสาร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพื้นฐานของวัยรุ่นนะ พื้นฐานของผู้แสวงหา พื้นฐานของผู้แสวงหานี่เห็นไหม

อย่างเช่นเมื่อวานนี้ มีสารวัตรใหญ่ เขาดิน เขาจะมานิมนต์ไปเทศน์ที่วัดสระกระเทียม เขามีบวชผ้าขาว บวชชีพราหมณ์กัน เราบอกไม่ไป เขาบอกเขาอยากนิมนต์ไปมากเลย เพราะอะไรนะ เพราะหลวงพ่อเทศน์นี่นะ โดยทั่วไป เขาฟังหลวงพ่อไม่ออกหรอก

ถ้าเทศน์ของเรานี่ ออกไปโดยประชาชนพื้นฐานนี่ เขาฟังไม่เข้าใจ แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติมีพื้นฐานแล้วนะ เทศน์หลวงพ่อนี่สุดยอดเลย เพราะมันชี้ ชี้ออกถึงพ้นไปได้เลย ฉะนั้นเราจะบอก บอกว่านี่ ถ้าเทศน์อย่างธรรมะของพวกเรานี่ ถ้ากระจายไปในสังคมนี่ บางทีมันไม่เข้าใจ

แต่ถ้าเป็นตรรกะ เป็นวิทยาศาสตร์ พูดเรื่องธรรมะไปในทางวิชาการ สังคมเข้าใจได้หมด สังคมนี่แหม สุดยอดๆ แต่สำหรับเรานะ มันสุดยอดแบบวิทยาศาสตร์ สุดยอดแบบโลก ทีนี้พอสุดยอดแบบโลกทุกคนมันกระจายออกไปเห็นไหม นี่วิมุตติ ......... ชมรมอะไรต่างๆ เพราะอะไร เพราะมันเป็นความเห็นของโลกไง เป็นโลกียปัญญา

ก็แจกกันไป แจกกันไป วิมุตติเป็นอย่างนั้น วิมุตติเป็นอย่างนั้น มันก็เลยคากันอยู่วิมุตติของโลกไง ขี้ลอยน้ำไง ว่างๆ ขี้มันลอยน้ำเห็นไหม โอ๊ย สบาย ว่าง..ว่าง.. เหมือนกับอะไร ว่างขี้ลอยน้ำเลย เลยกลายเป็นธรรมะขี้ลอยน้ำ นี่ ที่เราสังเวช สังเวชตรงนี้ สังเวชมาก แต่มันก็ประสาเรานะ มันก็คงจะเป็นคราวเป็นกาลล่ะ

ถ้าเขาเป็นขี้ลอยน้ำ แล้วเราเห็นใจเขา แล้วธรรมะของเราล่ะ เขาก็ฟังไม่ออกอีก พระอะไรวะ พูดนักเลงฉิบหายเลย มันพูดทิ่มกิเลสต่างหากล่ะ มันพูดทิ่มกิเลสเรานะ เพราะมันขัดใจเราเห็นไหม กิเลสเรานี่มันแสวง มันปกป้องนะ ทุกคนนะปกป้องตัวเอง ตัวเองต้องถูกต้องดีงามหมด ไม่รู้เลย ถูกต้องดีงามนี่ ถูกต้องดีงามของกิเลส กิเลสมันพาหลบพาหลีก

ถูกต้องดีงามนี่ มันต้องหาความผิดพลาดของเราสิ ถ้าถูกต้องดีงามนี่ ความถูกต้องดีงามอันนั้นมันอยู่กับเราไม่ได้ ความถูกต้องดีงามมันอยู่กับเราชั่วคราวนะ ถ้าความถูกต้องดีงามมันอยู่กับเราได้ เราจะคุมมันอย่างไร มันต้องเห็นที่มาที่ไปไง เขาถึงบอกว่า สิ่งที่เขาเป็น เพราะมันไป

เมื่อ ๒ วันนี้ พวกหมอมาเยอะมาก เพราะหมอเขามาเล่าให้ฟัง ทีแรกนี่เขา.. แล้วหมอนี่แปลกนะ หมอลูกศิษย์หลวงปู่เจี๊ยะ อยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะมา แล้วหมอมาเมื่อวานนี้ หมอมา ๒-๓ คนนี่ เขามาลูกศิษย์หลวงปู่หล้า พวกนี้เป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์เราทั้งนั้นเลยนะ แต่พอครูบาอาจารย์เราเสียไปแล้วไง เขาฟังใครไม่ขึ้นไง ไปดูจิตหมดเลยนะ

แปลก.. พอดูจิตแล้วนี่ มันคงจะคิดนี่ นี่เรายังคิดนี่มันเป็นตรรกะเนาะ เพราะเขาพวกนี้ พวกหมอนี่เขามีปัญญาของเขา แล้วเขาใช้ปัญญาของเขานี่จินตนาการ ตามไป มันเห็นจริงตามนั้นนะ แต่มันเป็นปัญญาโลก มันหยาบไง มันเข้าไม่ได้ แล้วเชื่อมั่นมาก มาหาเรานี่ เราบอกผิดหมด เขาบอกผิดอย่างไร

ผิด ผิดเพราะทางวิชาการนี่นะ เหมือนกับเราดูหนังสารคดีนี่ เอ็งไปดูหนังสารคดีนี่ เอ็งเห็นไหมว่าสารคดี หนังสารคดีนี่ การดำรงชีวิตในป่าเห็นไหม เราเห็นเขานะ โอ้โฮ ตื่นเต้นไปหมดเลยนะ แล้วมึงรู้จริงหรือเปล่า เราบอกเลยนะ การปฏิบัติของเรา ถ้าเป็นความจริงนะ เราจะต้องเป็นผู้สร้างหนังสารคดีเอง เราจะต้องลงไปถ่ายทำในพื้นที่นั้น ถ้าเราลงไปถ่ายทำในพื้นที่นั้น เราจะเห็นข้อเท็จจริงในพื้นที่นั้นทั้งหมด

แต่นี้เขาทำหนังสารคดีมาฉายให้เราดูบนจอใช่ไหม มันก็เหมือนกับทางวิทยาศาสตร์ล่ะ เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้เราฟังไง ธรรมะเป็นอย่างนั้นๆ นะ นิพพานนะ โอ้โฮ เข้าอริยสัจ สัจจะความจริงมันจะว่างเป็นวิปัสสนานะ เออใช่ ใช่ทั้งนั้นเลย เพราะ ในพื้นที่จริงเอ็งเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ในพื้นที่จริงเอ็งไม่เห็นเลย

พอพูดไป เขาฟังนะ เขาฟัง บอกที่เอ็งฟังมา ที่เห็นนั้น ผิดหมด เพราะมันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า มันไม่ได้เป็นธรรมะของมึง ถ้ามึงจะรู้จริงนี่ มึงต้องลงไปถ่ายทำ ถ่ายทำในภพของเราไง ถ่ายทำในหัวใจนะ ถ่ายทำที่ภวาสวะที่ตัวภพนี่ มันต้องลงเข้าไปที่ภพเรา รื้อค้นของเราขึ้นมา ไม่ใช่ไปจินตนาการสภาวะแบบนั้น ให้เป็นธรรมๆ มันเป็นไปไม่ได้

ฟังนะ ฟัง พอฟังแล้วก็เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงแล้วเขาก็ไปพูดให้เพื่อนๆ เขาฟัง แล้วเขาก็มาพูดกับเรา “หลวงพ่อ เอาเทปเอาซีดีหลวงพ่อไปให้เขาฟังนะ ทุกคนฟังบอก ดีหมดเลย แต่ชวนมาหาหลวงพ่อทุกคน ไม่มีใครมาสักคนเลยๆ แต่ฟังแล้วนะ เห็นจริงหมดเลย แต่ชวนให้มา ไม่มีใครมาสักคนเลย” เพราะเราเข้าใจ

ถ้ามาหาเรา มาปฏิบัตินี่ เราจะทำหนังสารคดีกันนะ เราต้องซื้อกล้อง เราต้องเตรียมฟิล์ม เราต้องลงไปในพื้นที่ เราต้องคิดว่าเราจะทำหนังสารคดีเรื่องอะไร มันต้องลงทุนลงแรง มันเหนื่อยนะโว้ย แต่ถ้าเรานั่งดูหนังคนอื่นนะ มันสบายใช่ไหม มาถึงก็เอาฟิล์มใส่ในเครื่องนะ พอเปิดขึ้นมามันก็เห็นหมดใช่ไหม แต่ถ้าเราจะถ่ายทำนะ เราจะลงพื้นที่ไหน เราจะทำเรื่องอะไรกันล่ะ เราจะลงไปทำไม

นี่ไง เราถึงบอกเห็นไหม เราจะสงสารมาก บอกถ้าเราจะปฏิบัติ พุทโธ ปฏิบัติเพื่อให้เป็นความจริงของเรา เราจะลำบาก เราจะทุกข์ยาก เราจะเหนื่อยมาก เราต้องดัดแปลงตน เราต้องกระเสือกกระสน เพราะเราจะต่อสู้กับกิเลสของเรา แต่การกำหนดจิต ว่างๆ ว่างๆ แล้วเป็นมรรคๆ เป็นมรรคผลนิพพาน

มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จากนี้ไปมันก็เป็นอะไรที่เราพูดบ่อยเห็นไหม ในปริยัติ ในภาคปฏิบัติไง เพราะทุกคนอยากปฏิบัติ ทุกคนอยากเป็นนักปฏิบัติ ทุกคนอยากพ้นกิเลส แล้วก็ไปฟังซีดีกัน แล้วก็ไปจินตนาการเอาว่าเป็นมรรคผลนิพพาน

ทีนี้พอทำอย่างนั้นแล้วทุกคนเชื่อถือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เรานี่นะ เราไม่มีตังค์นี่ เราไม่มีเงินนี่ เราจะไปแลกเปลี่ยนสินค้ามาได้ไหม เราไม่มีเงินนี่ เราจะเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนสินค้ามาเป็นของเราได้ไหม ไม่ได้เลย เราไม่มีอริยสัจ เราไม่มีความรู้จริงในหัวใจนี่ มรรคผลมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เอ็งไม่มีสมาธิ เอ็งไม่มีปัญญา แล้วมรรคผลที่เกิด ที่เขาดูอยู่นั้นมันเป็นปัญญา

เอ็งว่า ปัญญาที่เราว่า ไม่ใช่สัจธรรม ไม่ใช่ความจริงว่า ทุกคนก็ว่าเราเป็นคนดีหมดแล้วไง คนไหนบ้างที่บอกเราไม่ดี เราก็ดีหมดทุกคนแล้วล่ะ เราว่า เราว่าไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราว่าไม่ได้ปั๊บ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะผู้ปฏิบัติจริงเห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์เรานี่ กว่าจะทำความสงบของใจ

หลวงตา ครูบาอาจารย์ ท่านบอกเลย หลวงปู่มั่นเทศน์นี่ ต้องทำความสงบก่อน ต้องทำความสงบให้เขาก่อน พอทางนั้นบอกว่า เสียเวลา ทำทรมาน ทำสมาธินี่ลำบากมาก ไม่ต้องทำเลย แล้วมันแก้กิเลสไม่ได้ ใช้ปัญญาไปเลย นี่ก็ดูจิตเห็นไหม แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นเองเลย แล้วพอดูไปแล้วนี่ ทำง่ายๆ ง่ายๆ

เราขอถามกลับคำหนึ่งนะ เขาปฏิบัติกันนี่ กี่แสนคน ง่ายๆ นี่มีใครประสบความสำเร็จสักคนหนึ่งมั่ง มีใครได้มรรคได้ผลสักคนหนึ่งไหม แล้วถ้าได้ ขอคุยด้วยหน่อยหนึ่ง แต่เขาก็จะบอกว่า คนนั้นก็อนาคา คนนั้นก็อรหันต์ ชี้นี่ไปหมดเลย กระแสไง ไม่เคยเชื่อเลยนะ ไม่เคยเชื่อเลย

ถ้าจะเชื่อนะ เราต้องมีเหตุมีผล เราจะเชื่อนะ แก้วแหวนเงินทองต้องเอามาให้กูดู เพชรนิลจินดานี่ ต้องพิสูจน์กันว่าเพชรจริงหรือพลาสติกอัด มึงเอาเพชรมานี่มึงเข้าใจผิดว่าเพชร นี่พลาสติกอัดมานี่ ใสๆ เหมือนกัน แวววาวกว่ากูด้วย ต้องพิสูจน์ด้วย เอ็งว่าเพชร ว่าเพชรนี่ ต้องเข้ามาท้องตลาดก่อนสิ ให้ทางช่างเขายืนยันว่าอันนี้เป็นเพชร ไม่ใช่ว่าสังคมมึงบอกว่าเพชร มึงจะพูดกันอยู่ในสังคมของมึงได้อย่างไร ว่านี้มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพาน

สังคมของมึง กับในวัฏวน วัฏวนเป็นความจริงนะ เราไม่เชื่อเลยนะ อันนี้ไม่เชื่ออย่างหนึ่ง แล้วประสาเราที่พูดนี่เพราะอะไร เพราะเวลาแต่ละคนมา ที่ให้แก้ ให้แก้นี่ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะสมาธินี่ยังพูดไม่เป็นเลย

อย่างเช่นเรานี่ อย่างพวกเรานี่ อย่างแบงก์พันแบงก์ปลอมนี่ใครเอาบ้าง แล้วแบงก์พันปลอมใครดูเป็นบ้าง แบงก์เก๊แบงก์จริงยังไม่รู้เลย แล้วมึงจะมาสอนอะไรกัน แล้วบอกเลย โลกนี้เขาไม่ใช้แบงก์กันแล้ว มึงเข้าร้านไหนก็หยิบฉวยเอาได้เลย สินค้านั้นนะ เขาให้ฟรี มึงหยิบเอาสิ ก็เท่ากับปล้น เขายิงหัวตายห่า

อย่างน้อยมันก็ต้องทำความสงบของใจนี่ แบงก์ทุนไง ถ้าจิตสงบเข้ามา เรามีหลักมีเกณฑ์เข้ามา เรามีเงินมีทองขึ้นมาเห็นไหม เราจะซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไรก็ได้ ถ้าจิตเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เราจะทำผลประโยชน์อะไรก็ได้ จิตของเราไม่มีอะไรเลย ว่างๆ ว่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ พอมันเป็นไปไม่ได้อย่างเรานี่ตรรกะนี่ ปัญญาเราเกิดได้นะ อย่างเช่น เราเหยียบหนามมานะ ถ้าเราไม่รู้ว่าหนามอยู่ที่ไหน อยู่ต่อไปนะ มันต้องกลัดหนอง มันต้องเจ็บ

ถ้าในหัวใจของคนมีกิเลสอยู่ เป็นไปไม่ได้ว่ากิเลสมันจะยอมสงบนิ่งกับใจมึงตลอดไป กิเลสในใจมึงต้องแสดงออกสักวันหนึ่ง แน่นอน แน่นอน

เพราะพอกิเลสมันไหวตัวขึ้นมานี่ มันเกิดมีความสงสัย นี่ๆ ข้อเขียนนี่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ธรรมะที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันเป็นธรรมะนิยายนะ ธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะครูบาอาจารย์เรานี่

หลวงตาท่านเขียนมานี่ ๔๐-๕๐ปี เคยแก้ไข เคยเปลี่ยนแปลงไหมอันนี้เปลี่ยนมันเรื่อยเลย เดี๋ยวก็เปลี่ยนใหม่ๆ เปลี่ยนใหม่ๆ ธรรมะอะไรของมึงวะ หลวงตาท่านเขียนมานี่ตั้งกี่สิบปีแล้ว หลวงตาต้องไปแก้ไข เปลี่ยนอะไรตรงไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาสองพันกว่าปีแล้วนี่อริยสัจ เปลี่ยนแปลงไหม อันนี้มันเปลี่ยนมากี่รอบแล้ว

นี่คนไม่คิดนะ คนคิดไม่เป็น ธรรมะความจริง อริยสัจนะ อริยสัจมีหนึ่งเดียว สงสารมากนะ เวลาสงสาร สงสารมาก แต่อย่างที่พูดเมื่อเช้านี่นะ โทษนะ กูก็ไม่ไหวแล้วแหละ เพราะมันมาแต่ละคนนี่ โอ้โฮ เป็นชั่วโมงๆ นะ ต้องคุย ต้องแยก ต้องแยะ แล้วประสาเรานะ ที่เราพูดนะ ไม่ใช่อวดตัวนะ เรากล้าพูดว่า คนอื่นเขาแยกแยะไม่ออกไง

กิเลส อุปกิเลส กิเลสคือเขาฟังหยาบๆ เรานี่ แล้วมันก็จะมีความว่าง โอภาส แสงสว่างไสวนี่ มันเป็นอุปกิเลส เห็นไหม กิเลสอย่างหยาบก็อย่างหนึ่ง กิเลสอย่างละเอียดก็อย่างหนึ่ง แล้วกิเลสในหัวใจนี่ ที่มันลึกลับซับซ้อนเข้าไปนี่ มันก็เป็นชั้นๆ เข้าไป ฉะนั้นเวลาจะพูดขึ้นมานะ ก็ต้องบอกว่า อันนั้นหยาบนะ ทิ้งอันนั้นเข้ามาๆ

พอทิ้งแล้วมันจะไปเจออย่างนี้ๆ นี้ๆ ก็ยังเป็นกิเลสอย่างละเอียดนะ แต่ถ้ามันไม่เป็นนะ พอทิ้งอันนั้นมาปั๊บ ทิ้งจากกิเลสอย่างหยาบมากิเลสอย่างละเอียดนะ นิพพานแล้ว โอภาส สว่างไสวเห็นไหม อุปกิเลส กิเลสละเอียดหรือเปล่า อ้าว แล้วถ้าไม่เป็นล่ะ ก็ว่างๆ ว่างๆ ไง ว่างๆ ก็ในโอ่งในไหไง ในโอ่งในไหก็ว่าง

ใจคนเราธรรมชาตินี่นะ มันฟุ้งซ่านได้ แล้วมันก็ปล่อยวางในตัวมันเองได้ ถ้าคนเรานี่ ไม่สามารถไม่ปล่อยวางตัวเองได้ คนนั้นตายหมดแล้ว นี่พอปล่อยวางตัวเองนี่ มันปล่อยวางโดยธรรมชาติของมัน หินทับหญ้าไว้ กิเลสมันอยู่ในใจนั้นไง ไม่ได้พลิกไม่ได้อะไรเลย

แต่ถ้าคนไม่เป็นนี่ มันก็ว่าเป็นอย่างนั้นปั๊บ แล้วเขียนเป็นตำราไว้ แล้วเราทำแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นมันไม่เป็นความจริงหรอก ทีนี้เพียงแต่ว่าสังคมมันเป็นอย่างนั้น เราทำของเราเถอะ มันก็เหมือนกับว่าในโลกนี้ กรรมมันหลากหลาย แล้วแต่ กรรมของสัตว์มันจะเป็นไป

เราฟังตั้งแต่ทีแรกเลยนะ เราฟังที่เขาพูดมาให้ฟัง เราฟังแล้วมันไม่เข้าแก๊บเลย มันมีเทศน์อยู่ พูดวนไปเวียนมา แล้วมันไม่เข้าหลัก ไม่เข้าหลัก เหมือนเรานี่ อาหารนี่ เวลาทำแล้วมันไม่สำเร็จใส่จานได้สักทีไง ทำอยู่นั่นล่ะ วนไปเวียนมาไง อย่างของเรานี่ ทำกันเสร็จครูบาอาจารย์เห็นไหม ผัดไทย ใส่จานกินได้เลย ต้มยำ อ้าว กินได้เลย

ทีนี้ของมันก็ทำอยู่นั่นล่ะ วนนะ ต้มยำกูก็ไม่เสร็จสักที ต้มอยู่ในหม้อนั่นล่ะ คนอยู่นั่นล่ะ ไม่เสร็จ ไม่เดือดสักที ไอ้ของเรานี่ออกมา อ้าว ต้มยำเอาไปเลย คนละถ้วยคนละถ้วย แล้วมันก็ไม่ถึงขณะจิตที่มันจบไง มันสำเร็จเป็นชั้นๆ เป็นข้อๆ เออมึงก็สรุปมาสิ แล้วพวกนี้กลัวมาก เราสังเกตที่เขามาบอกนี่พระโสดาบันนี่ พิจารณากาย พิจารณากาย พอปล่อยกายเข้า ยกเข้าพระไตรปิฎกๆ

มันไม่ยอมว่า ต้มยำนี่ออกมาเป็นถ้วย เป็นอย่างไรไง ถ้ามันเอาต้มยำออกมาเป็นถ้วยนะ ถ้ามันเอาแกงจืดมาบอกว่านี่ต้มยำนะ มันก็ผิดแล้วใช่ไหม ถ้าขณะจิตบอกผิด มันผิดเลย ถ้าต้มยำใช่ไหม ต้มยำประกอบด้วยอะไร เห็นไหม มีข่า มีตะไคร้ มีอะไร ต้มยำ อ้อ นี่ต้มยำคือต้มยำ

พอมันเอาน้ำใส่แก้วมาบอกว่า นี้ต้มยำ เอ่อ นี้รู้เลยนะ มันถึงไม่กล้าสรุปไง ไอ้ที่ว่าสรุปไม่สรุปมันอยู่ตรงนี้ เราฟังนี่ เราพยายามฟังนี่ สรุปไหม ถ้าสรุปได้ ไอ้นี่ทำต้มยำถูกต้อง ถ้าไอ้นี่สรุปไม่ได้ หรือมันเอาถ้วยเปล่าๆ มา ในถ้วยนั้นมีแต่แกงจืด ในถ้วยนั้นมีแต่น้ำเปล่า ในถ้วยนั้นไม่มีอะไรเลย แล้วมันบอกว่าต้มยำ

ขณะจิตที่เป็น นี่พระ เวลาครูบาอาจารย์ที่เขาตรวจสอบกัน เขาคุยกัน เขาคุยกันอย่างนี้ ไหนมึงเอาต้มยำให้กูดูดิ๊ แล้วเอาต้มยำตั้งเลย ไหนต้มยำ ต้มยำกุ้งมีอะไรบ้าง มีกุ้ง มีตะไคร้มีไหม อ้าว มึงไม่มีตะไคร้ มึงใส่อะไรมาแทนตะไคร้ มรรค ๘ ขณะจิตที่เป็น พั้บๆๆ เลย ถ้ามันทำต้มยำ จบมาไม่ได้ มันไม่มีต้มยำมาให้เราดู ถ้ามึงไม่เอาต้มยำมาให้กูดูนี่ ต้มยำอะไรของมึงนี่มันจืดฉิบหายเลย ต้มยำไม่มีรสชาติเลย เดี๋ยวเสื่อมไง

ถ้าไม่เป็นจริง มันจะเป็นอนิจจังอยู่ กุปปธรรม อกุปปธรรม ถ้าเป็นความจริง จะเป็นอกุปปธรรม เป็นต้มยำแล้วนี่ เราจะเอากุ้งในต้มยำเรานี่ ไปล้างน้ำ แล้วไปขายเป็นกุ้งสดอีกได้ไหม อกุปปธรรมไง มันจะกลับไปเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ กุปปธรรม เอากุ้งมาแช่น้ำ แล้วบอกต้มยำ พอเทน้ำทิ้ง กุ้งกูยังไม่ได้ทำอะไร กูเอาไปขายต่อได้ อนิจจังไง

กุปปธรรมคือเจริญแล้วเสื่อม สัพเพ ธัมมา สภาวะที่ยังเปลี่ยนแปลง สภาวะที่ยังไม่คงที่ สภาวะที่ยังไม่สรุป สภาวะที่ยังไม่สำเร็จรูป เป็นอกุปปธรรม ถ้าสภาวะที่มันสำเร็จรูปมันเข้าเนื้อ ต้มมันเป็นสำเร็จรูปไปแล้ว มันจะคืนมาเป็นอย่างเดิมอีกไม่ได้ เป็นอกุปปธรรม เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา เป็นพระอรหันต์ จะแปรสภาพไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะกลับคืนสู่สภาวะใดๆ ก็ไม่ได้ มันเป็นอฐานะ มันจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ ธรรมะคงที่ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะในอริยสัจไง

ไม่ใช่ธรรมะนิยาย เขียนไปปีสองปี เปลี่ยนใหม่ ต้องเรียบเรียงใหม่อีกแล้ว กาลเวลามันเปลี่ยนแปลง สังคมมันเปลี่ยนแปลง ธรรมะกูต้องเปลี่ยนแปลงตามไป ไม่รู้ธรรมะของใคร แต่ปัญญาชนไปกันเยอะมาก ถ้าธรรมะจริงๆ นะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อกุปปธรรม คงที่ตายตัว

แม้แต่พระศรีอริยเมตไตรยก็ยังตรัสรู้อย่างนี้ อนาคตวงศ์ อีก ๑๐ องค์ พระพุทธเจ้าในอนาคตก็จะมาตรัสรู้อย่างนี้ ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม พระพุทธเจ้าบอกธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม เรามารู้สิ่งที่มีอยู่แล้วเท่านั้น สิ่งนี้มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ของมีอยู่ แต่พวกเราหยาบ

ที่ว่าธรรมะไม่ตาย ไม่ตาย ธรรมะมีอยู่แล้วนี่ จิตเราเสื่อม จริง แต่ต่อไปนี่มันเข้ากันไม่ถึงเลย มันไม่มีอำนาจวาสนา มันไม่มีบารมี ถ้ามีอำนาจวาสนามีบารมี ทำไมพระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ทอดธุระเลย โอ้โฮ ทั้งๆ ที่เตรียมตัวมาเป็นพระพุทธเจ้านะ มันยังลึกลับขนาดนั้น

แต่เพราะด้วยบารมี ด้วยครู ด้วยอาจารย์ที่ฉลาด แยกแยะ เป็นคนที่ทำได้จริง สามารถเอามาแยกแยะ สามารถเอามาทำให้เราเห็นได้จริง เรายังมีโอกาสมากันได้ แล้วนี่พอสมัยกึ่งพุทธกาล หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์นี่ เป็นพระอรหันต์ ขึ้นมา หลวงปู่มั่นท่านถึงวางรูปแบบไว้ วางไว้ตรงไหน วางไว้อยู่ในหนองผือนี่ คอยระวังมากเลย ไม่ให้คนเข้ามากระทบกระเทือนไม่ให้อะไร

นี่ถนอมรักษาเลย เหตุผลของมันที่จะมีการประพฤติปฏิบัติ ที่จะไม่ให้กระทบกระเทือน เหมือนน้ำในแก้วนี่ ที่มันขุ่น ตะกอนนี่ เราจะถนอมมากเลย ไม่ให้ใครมาชน ไม่ให้ใครมากระทบกระเทือนจะให้ขุ่นตะกอนนั้นมันฟื้นตัวออกมา

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นนะ ท่านจะถนอมรักษาลูกศิษย์ ท่านจะดูแลลูกศิษย์ ท่านจะปกป้องลูกศิษย์ขึ้นมา เพื่อจะให้ทุกคนภาวนาเข้าไป เพราะมีครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์เอก เป็นครูเอก เป็นผู้ที่บุกเบิกมา ท่านหล่อเลี้ยงลูกศิษย์ขึ้นมานี่ เป็นกระบวนการ เป็นการฟื้นฟูศาสนาขึ้นมาอีกรอบหนึ่งไง

แล้วธรรมะอะไรที่มันมานั่งคุยกัน นั่งเล่นกัน นั่งสุมหัวกัน แล้วว่าตรัสรู้ว่าง่ายๆ นี่ ธรรมะเด็กเล่น เพียงแต่ว่ามันมีธรรมะของจริง เป็นแบบอย่าง มีธรรมะของครูบาอาจารย์เราเป็นแบบอย่าง ไอ้ธรรมะของเล่นมันก็เลยมาแอบอ้างกัน ยิ่งเห็นยิ่งสมเพช สมเพช สมเพช

เอวังเนาะ